วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

รอบเกาะสีชังกับการเดินทางแบบคายักทัวร์ริ่ง

            ฝันของใครหลายคนที่อยากเดินทางในแบบที่แตกต่าง ซึ่งผมและเพื่อนๆก็เช่นกันโดยเฉพาะกับพี่เจต ที่มีคติประจำใจว่า "รีบพายเรือกันซะเดี๋ยวแก่แล้วจะพายไม่ไหว" โปรแกรมนี้เราเลื่อนมา 1 รอบเนื่องจากวันหยุดไม่ตรงกันสักที เมื่อเวลาลงตัวบันทึกการเดินทางบทใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่รีรอเรือ 5 ลำ คน 5 คนจึงพร้อมออกเดินทางจากแหลมฟานชายฝั่งอำเภอศรีราชาในวันที่ 26 มีนาคม 2559 กันทันที

            ก่อนเดินทางผมดูพยากรณ์อากาศแล้วก็แอบหวั่นใจลึกๆว่าเราจะเจอพายุฤดูร้อนกันหรือเปล่าแต่เมื่อเห็นภาพถ่ายดาวเทียมแล้วก็เบาใจได้ในระดับหนึ่งว่าไม่น่าจะเจอแต่เจอหางๆของพายุแน่ๆไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ พอเราเอาเรือลงจากรถจัดแจงสัมภาระที่จำเป็นต่อการเดินทาง 2 วัน 1 คืนเรียบร้อยแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้นผมพนมมือไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่แห่งเกาะสีชังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ห่างออกไป 16 กิโลเมตรในใจขอให้การเดินทางปลอดภัย แสงแดดเริ่มโผล่พ้นเมฆ ทะเลเรียบไร้คลื่นลมนั่นเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นเดินทาง ผมกับพี่เจตเราต่างเดินทางด้วยเรือคายักกันมาบ่อยจนรู้มือกันดีแล้วแต่อีก 3 คนคือคุณเอมี่หญิงสาวเพียงคนเดียวในทริปนี้ ,คุณตู๋,คุณเปี๊ยกจากชมรมเพื่อนพายเรายังไม่เคยมีโอกาสพายเรือด้วยกันเลยเราจึงพายกันอย่างสบายๆไม่เร่งร้อนแต่ก็ทำเวลากันได้ดีพอสมควร
           เกือบ 2 ชั่วโมงเต็มพวกเราทั้ง 5 ก็มาขึ้นฝั่งที่เกาะขามน้อยที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะสีชัง หาดที่เต็มไปด้วยเปลือกหอยและหินก้อนกลมๆที่ถูกคลื่นซัดจนเรียบสวยงาม น้ำทะเลค่อนข้างใสมากถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจก็ตาม












       ข้อดีของท้องฟ้าปิดคืออากาศไม่ร้อนพายเรือสบายแต่ถ่ายภาพไม่ได้เรื่องเราพักผ่อนยกแรกกันเกือบครึ่งชั่วโมง พี่เจตบอกทุกคนว่าเดี๋ยวเราพายเรืออ้อมหัวเกาะไปสักพักถ้าเจอหาดทรายตรงไหนก็แวะพักมื้อเที่ยงกันอีกทีทุกคนรับทราบแผนการเดินทางช่วงต่อไป

       จากนั้นเราเริ่มต้นพายเรือกันอีกครั้งจากเกาะขามน้อยเราจะพายเรืออ้อมหัวเกาะสีชังทางด้านทิศเหนือซึ่งเต็มไปด้วยเรือบรรทุกข้าวที่ผูกโยงลอยลำรอลำเลียงขึ้นเรือสินค้าขนาดใหญ่ ในความเวิ้งว้างของทะเลเมื่อพ้นหัวเกาะสีชังไปแล้วคือทะเลเปิดไร้เกาะใดๆบดบังมีเพียงเส้นขอบฟ้าเท่านั้นที่เป็นเพื่อน ทันทีที่เข้าใกล้หัวเกาะสีชังเราเริ่มเห็นริ้วคลื่นกระเพื่อมยกตัวสูงกว่าช่วงที่ผ่านมาเรือคายักลำน้อยโยนตัวไปตามกระแส เมื่อเทียบกับเรือบรรทุกข้าวก็ดูเล็กไปถนัดตา ยิ่งถ้าเทียบกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ลอยลำไม่ห่างกันนัก เรือคายักก็เป็นเรือจิ๋วเหมือนเศษไม้ในท้องทะเลเลยทีเดียว การพายเรือแบบนี้ไม่ควรเข้าใกล้เรือใหญ่ด้วยประการทั้งปวงไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ คลื่นที่เริ่มซัดเข้าฝั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกระแทกเข้ากับเรือลำใหญ่เกิดเป็นคลื่นสะท้อนกลับจนบางครั้งเรือคายักเราแทบจะควบคุมทิศทางไม่ได้ ต้องตั้งสติให้มั่นผมหันหัวเรือเฉียงคลื่น 45 องศาค่อยๆลากพายยาวๆขนานไปกับลำเรือตัดคลื่นส่งเรือให้ห่างออกจากเรือลำใหญ่ฉีกตัวห่างจากหัวเกาะสีชังไปอย่างช้าๆแรงพายที่ลงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วงส่งให้เรือคายักหลุดพ้นแนวคลื่นสะท้อนกลับไปอย่างไม่ยากเย็น จนมาลอยลำรอเพื่อนอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของเกาะสีชัง
       เมื่อพ้นหัวเกาะที่มีคลื่นแปรปรวนมาได้คลื่นและลมก็พัดในทิศทางปกติจากทิศเหนือมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ผมหันท้ายเรือให้คลื่นส่งท้ายใช้แรงคลื่นช่วยให้เราพายเรือได้สนุกไม่เหนื่อย เรือ คลื่น ลม และผมถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวมีความสงบเงียบเป็นเพื่อน ผมชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวกลางผืนน้ำอันกว้างใหญ่ตอนนี้มาก ได้คุยกับตัวเอง ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา มีเวลาให้กับจิตใจและตัวตนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะตลอดเวลานับสิบปีชีวิตของเรามิได้เป็นของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เคยถามใจหรือดูแลจิตของตัวเองเลย วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ใจจะได้พัก

       เราพายจากเกาะขามน้อยจนเวลาล่วงเลยมาได้ 1 ชั่วโมงเศษก็มาเจอหาดทรายเล็กๆอยู่หาดหนึ่งตามแผนคือเราจะต้องหยุดพักกินข้าวบ่าย หาดนี้อยู่ระหว่างหัวเกาะกับหาดถ้ำพัง

มีหลักหินบอกตำแหน่งที่ผมก็ไม่ทราบความหมายเราพักผ่อนเพิ่มเติมพลังงานและเล่นน้ำคลายร้อนกันอย่างเต็มที่จากนั้นก็เดินทางต่อไปแบบไม่เร่งรีบเพราะจุดหมายปลายทางของวันนี้คือที่หาดถ้ำพัง เราพายเรือออกจากหาดนิรนามมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาเจอหาดช่องเขาขาดจุดที่มีสะพานชมวิวทิวทัศน์ ผมถ่ายภาพเข้าไปนับเป็นการชมวิวที่แปลกตาจากปกติที่เรามองออกมาจากเกาะสีชังแต่ครั้งนี้เรามองจากท้องทะเลเข้าไปก็แปลกตาดีไม่น้อย คุณเปี๊ยกเอ่ยว่านี่ถ้าไม่ได้พายเรือก็ไม่เห็นมุมนี้นะเนี่ย
       จากหาดช่องเขาขาดเพียงชั่วไม่กี่อึดใจก็เข้ามาถึงหัวหาดถ้ำพัง ชื่อหาดถ้ำพังนั้นมาจากเพิ่งถ้ำที่อยู่ด้านซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าฝั่งนั่นเอง เป็นมุมที่เราต้องพายเรือออกมาจึงจะเห็น หาดถ้ำพังในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนพลุกพล่านต่างมองพวกเราเป็นตาเดียวหลายคนสอบถามว่าเราพายมาจากไหนเมื่อตอบไปก็ตกใจกันทั้งนั้นเพราะคงไม่คิดว่าจะมีคนไทยบ้าพายเรือกันขนาดนี้ หาดถ้ำพังเป็นหาดที่สวยที่สุดของเกาะสีชังหาดทรายขาว น้ำทะเลใส เราพักแรมคืนกันที่นี่ด้วยการจองห้องพักในราคาคืนละ 600 บาท  ในค่ำคืนที่หาดถ้ำพังกว่าที่จะข่มตาหลับได้ก็เกือบเที่ยงคืนเพราะเสียงเพลงคาราโอเกะที่ร้องแหกปากแบบไม่เกรงใจใคร สำหรับนักท่องเที่ยวไทยเมื่อมาเป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่แตกต่างไปจากนักท่องเที่ยวจีนสักเท่าไหร่เผลอๆอาจแย่มากกว่านักท่องเที่ยวจีนซะด้วยซ้ำ การที่จะว่าใครหรือชาติไหนเราควรสำรวจคนในชาติเราก่อนว่าดีกว่าเขาหรือไม่ ดังนั้นการว่าก็ควรเฉพาะตัวอย่าเหมาทั้งประเทศเพราะพี่ไทยก็ไม่เบาเช่นกัน

       รุ่งเช้าเราพายเรือเล่นเลาะเลียบหาดถ้ำพังกันพอได้เหงื่อจึงเริ่มพายกันต่อวันนี้เราจะพายเรือรอบเกาะสีชังมีแถมท้ายไปเกาะค้างคาวที่อยู่ห่างจากหาดถ้ำพังราว 5 กิโลเมตรด้วย 
       จากหาดถ้ำพังประมาณสัก 15 นาทีพายเรือเราก็มาลอยลำอยู่ตรงหน้าปาลีฮัทรีสอร์ตสุดฮิปของเกาะสีชังถึงแม้ไม่มีหาดทรายก็เก๋ได้ เริ่มแรกของที่นี่คือฉากถ่ายภาพยนต์ปืนใหญ่จอมสลัดเมื่อถ่ายจบก็ทำเป็นที่พักซึ่งเก๋และเท่ห์มากเป็นที่รู้จักนับแต่นั้นมา จากปาลีฮัทเราพายเรือจนมาสุดปลายเกาะสีชังมองเห็นเกาะค้างคาวอยู่ไม่ไกลเราจึงพายเรือไปที่เกาะค้างคาวเหมือนเดินเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้าน(กำลังอยู่ตัวแล้ว) ที่เกาะค้างคาวมีที่พักเพียงเจ้าเดียวต้องมาเป็นหมู่คณะไม่เปิดให้คนทั่วไปพักเห็นคุณเอมี่บอกว่าคราวหน้าจะชวนเพื่อนๆพายเรือมาเกาะค้างคาวกันอีกครั้ง
       จากเกาะค้างคาวพวกเราพายตัดข้ามเกาะมายังฝั่งทิศตะวันออกผ่านท่ายายทิมลอดผ่านท่าขนส่งน้ำมันทางท่อเข้าสู่พระจุฑาธุชราชฐานอดีตพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฝั่งด้านนี้เขาห้ามจอดเรือเราจะต้องพายอ้อมไปนิดนึงตรงสะพานอัษฎางค์แลนด์มาร์คของเกาะสีชังที่ใครๆมักจะมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกนั่นเอง
       จุดหมายปลายทางของพวกเราดูใกล้เข้าไปทุกทีเรามากินข้าวเที่ยงกันที่ร้านป้าปั่น&ลุงวิศ ร้านดังของเกาะสีชังต้องว่าอร่อยสมชื่อกับวัตถุดิบคุณภาพทำให้มื้อเที่ยงนี้เป็นมื้อที่วิเศษจริงๆ เราลงเรือกันอีกครั้งพร้อมกับภาพข่าวเมื่อชั่วโมงที่แล้วฝนตกหรักที่พัทยาน้ำท่วมอีกครั้ง เมฆฝนก่อตัวให้เห็นแต่ไกล สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสาย แสงแดดเหือดหายบรรยากาศอึมครึม ในใจผมเริ่มวิตกว่าเราเจองานหนักแน่คราวนี้ เรารีบพายออกจากเกาะสีชังเพื่อมุ่งหน้ากลับแหลมฟานฝั่งศรีราชาอย่างเร่งรีบผมเก็บกล้องลงในกล่องกันน้ำพายนำเพื่อนๆพร้อมบอกให้ตามมา การพายเรือท่ามกลางคลื่นลมและกระแสน้ำที่พัดขวางเส้นทางที่เราจะไปจำเป็นจะต้องพายเผื่อระยะ ผมกำหนดทิศทางตั้งหลักมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเล็งยอดตึกที่กำลังก่อสร้างซึ่งบัดนี้มองไม่เห็นแล้วเพราะเมฆฝนบดบัง เรือคายักตัดกระแสคลื่นพายไม่หยุดตั้งหัวเรือเฉียงเพียงแค่ 30 องศาเพื่อให้เรือไต่ไปบนหัวคลื่นเป็นการผ่อนแรงพายไม่ให้เรือตกลงไปยังท้องคลื่นวิธีนี้อาจเหนื่อยในช่วงแรกที่ต้องส่งเรือด้วยความเร็วเพื่อให้เรืออยู่บนคลื่นให้ได้เมื่อความเร็วถึงแล้วพายไม่หยุดคราวนี้คลื่นจะช่วยเราส่งเรือให้เร็วเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวโดยที่ออกแรงน้อยกว่าการพายปกติ ฝนเริ่มโปรยปรายมองเห็นฝั่งศรีราชาอย่างลางเลือน
       เมื่อเรือแล่นอยู่กลางทะเลถึงแม้จะปั่นป่วนแต่จิตใจกลับนิ่ง สงบ แขน หัวไหล่และเอวทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้เรือไปข้างหน้า สายฝน สายลมและเกลียวคลื่นคือเพื่อนในยามนี้สำหรับผมมันคือความสุขที่ไม่ต้องปรุงแต่งธรรมชาติงดงามและเป็นธรรมเสมอ เมื่อใกล้ฝั่งผมหยุดรอเพื่อนๆอีกไม่นานการเดินทางจะสิ้นสุดแล้วพายเรือคายักรอบเกาะสีชังครั้งนี้ให้บทเรียนชีวิตแบบเกินคุ้มสำหรับคนที่แสวงหาหนทางของการพายเรือ  สำหรับผมแล้วมันคือบันทึกการเดินทางบทใหม่ที่ทำให้กลับมาเป็นตัวตนของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ผมทิ้งไปนานนับสิบปี 
       ครั้งหน้าเราคงได้เจอกันบนเส้นทางใหม่ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างแหลมศอก - เกาะใบดั้ง - เกาะกระดาษ กลางท้องทะเลตราดอีกไม่นานเกินรอครับ

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คายัคทัวร์ริ่งเกาะเสม็ด

 หลังจากร้างลากับการพายเรือคายัคทัวร์ริ่งไป 6 ปี ผมกลับมาอีกครั้งกับทริปเดินทางของผู้ชาย 2 คนที่มีหัวใจชอบในสิ่งเดียวกัน(ผู้ชายแท้ๆนะครับ)นั่นคือการพายเรือคายัคทัวร์ริ่ง
 สำหรับคนที่มีภาระทางครอบครัวกว่าจะกำหนดวันเวลาการเดินทางได้ลงตัวก็เล่นเอาเกือบไม่ได้ไปกัน สุดท้ายเรามาลงตัวกันที่วันจันทร์ - อังคาร 23-24 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมานี่เอง เราประเดิมการพายเรือครั้งแรกกันที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง สำหรับผมการที่ไม่ได้พายเรือมานานถึง 6 ปีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเตรียมตัวจัดสัมภาระ(ที่ไม่ค่อยมีอะไร)ล่วงหน้าตั้ง 2 วันเมื่อถึงวันเดินทางจริงตอนเช้าตรู่ก็รีบแจ้นไปที่บ้านพี่เจตคายัคเกอร์ตัวจริงเสียงจริงที่พายเรือเที่ยวคนเดียวมานานนับสิบปี(ไม่มีน้องๆคนไหนไปพายด้วยเพราะมันเหนื่อยแสนสาหัสเหลือเกิน)
 ผลจากการออกเดินทางแต่เช้าตรู่ทำให้เรามาถึงบ้านเพกันเมื่อเวลา 09:30 น.เอาเรือลงจากรถแพ็คอุปกรณ์ยังชีพทั้งหลายตั้งแต่อาหาร น้ำดื่ม เต็นท์ฯลฯโดยแบ่งเฉลี่ยกันไป จากนั้นพี่เจตก็ขับรถไปฝากไว้ที่ท่าเรือนวลทิพย์ค่าฝาก 1 คืน 80 บาทสบายใจดีครับดีกว่าจอดรถริมทาง

 เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพพวกเราสองคนก็เริ่มเดินทางโดยเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าอันเลือนลางนั่นคือเกาะเสม็ดระยะทางโดยประมาณ 10 กิโลเมตรตื่นเต้นครับแสงแดดแรงกล้าก็มิได้หวาดหวั่น ทันทีที่พาเรือออกจากฝั่งได้พายกระทบน้ำทบทวนความทรงจำสักพักท่าพายเรือในแบบทัวร์ริ่งก็กลับมาได้ออกลวดลายกันอีกครั้งอาจดูไม่คล่องแคล่วในช่วงแรกแต่ก็พาเรือคายัคเคลื่อนที่ไปได้อย่างรวดเร็วพอสมควร แดดกล้าและสายลมแรงที่พาน้ำทะเลมาเป็นระลอกคลื่นกระทบข้างเรือหางเสือเริ่มทำหน้าที่บังคับทิศทางไปยังจุดหมายที่ต้องการ พักเดียวเท่านั้นที่ต้องปรับตัวเมื่อทุกอย่างเข้าที่ผมก็เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าคอนทัวร์เรือทัวร์ริ่งที่มีอายุอานามราว 10 ปีไปได้อย่างลื่นไหล การพายเรือที่ถูกต้องช่วยลดความเมื่อยล้าลงได้มากทำให้การพายเรือได้ระยะทางมากกว่าเดิม คายัคทัวร์ริ่งมันเป็นเรื่องที่เราต้องจัดการกับร่างกายและจิตใจของตัวเอง คุณลองนึกดูว่าเรือที่ไม่มีเครื่องยนต์ต้องใช้สองแขนพายให้เคลื่อนที่ถ้าหยุดพายกระแสน้ำและคลื่นลมก็จะพัดพาเราออกห่างจุดหมายไปเรื่อยๆจำเป็นที่จะต้องพายเรือตลอดเวลา ถ้าเราหยุดพายก็ไม่ถึงจุดหมายดังนั้นเมื่อออกจากฝั่งแล้วจึงมีแต่พาย กับพาย และพายเท่านั้นในเวลานี้ ทักษะที่ถูกต้องการใช้ร่างกายทั้งหมดในการพายเรือจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราเดินทางไปถึงจุดหมาย
เรือคายัคลำน้อยเมื่ออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่มีเรือโดยสารลำใหญ่ผ่านไปลำแล้วลำเล่าไม่พูดถึงเรือเร็วที่แล่นกันปรู๊ดปร๊าดโบกมือทักทายกันอย่างฉันมิตรคงมีคำถามในใจของใครบางคนว่าพายทำไมให้เมื่อย นั่งเรือเครื่องดีกว่า ผมใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง15 นาทีก็เข้ามาถึงท่าเรือหน้าด่านเป้าหมายคือผีเสื้อสมุทรที่ตั้งอยู่ปลายสะพานเสียงตะโกนของพี่เจตบอกว่า"ช่วยถ่ายรูปพี่กับแม่ผีเสื้อสมุทรให้หน่อย"เอาครับจัดไปตามขอ
 จากนั้นเราเริ่มเดินทางกันต่อเพื่อไปอ่าวลูกโยนซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-เกาะเสม็ด ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น คายัค 2 ลำแล่นเข้าชายหาด วิธีการเข้าฝั่งในกรณีที่มีคลื่นลูกใหญ่เราควรตั้งหัวเรือให้ตรงยกหางเสือขึ้นพร้อมกับเซิร์ฟเข้าสู่ฝั่งด้วยความรวดเร็วเป็นไปโดยอัตโนมัติเราจะต้องจัดท่าดีงสเกิร์ตพร้อมกับรีบลงน้ำเพื่อลากเรือเข้าฝั่งเพราะไม่อย่างนั้นเรืออาจคว่ำขวางกระแสคลื่นซัดเอาบาดเจ็บได้นี่เป็นกฏปฏิบัติของการทัวร์ริ่งที่ต้องฝึกฝนให้ช่ำชอง

 อ่าวลูกโยนจะเป็นสถานที่แรมคืนของพวกเราแต่ตอนนี้ขอดื่มกาแฟสดพร้อมแซนวิทฝีมือพี่เจตก่อนดีกว่า ความสุขอีกอย่างของการพายเรือทัวร์ริ่งคือช่วงเวลาดีๆแบบนี้เมื่อถึงที่พักได้แค้มปิ้ง ก่อไฟ(ถ้าทำได้) จุดเตาต้มกาแฟนั่งละเลียดดื่มด่ำไปกับความหอมกรุ่นแค่นี้ก็ฟินแล้วครับ
 เราขออนุญาติเจ้าหน้าที่พร้อมกับเสียค่าน้ำอาบคนละ 50 บาท ถึงที่พักเร็วกางเต็นท์ตั้งแค้มป์มีเวลาเหลือเฟือพักผ่อนให้สมกับการห่างหายอารมณ์แบบนี้มานานถึง 6 ปี นั่งนิ่งๆ ให้สายลมอาบกาย เล่นน้ำใช้ชีวิตเหมือนคนติดเกาะโลกเป็นของเราจริงๆ ยามเย็นแสงตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้าธรรมชาติลาจากอย่างสวยงาม

 ค่ำแล้วแสงจันทร์กระจ่างฟ้า ปรากฏการณ์เมฆขนแกะที่ผมไม่เคยเจอในยามค่ำคืน(ส่วนใหญ่จะเจอในช่วงเช้าหรือเย็น)อดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องวางลงบนกล่องกันนั้ำที่ใช้แทนขาตั้งกล้องบันทึกภาพบรรยากาศที่ไม่เคยเห็น
 เช้าแล้วผมรีบออกจากเต็นท์เพราะภาพเบื้องหน้ากำลังสวยสดงดงามเป็นการรับวันใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด 
 
วันนี้เป็นวันที่เราจะพายเรือมากที่สุดจัดการกับโจ๊กเบาๆเก็บข้าวของแล้วรีบเดินทางเพื่อไปกินข้าวที่เจี๊ยบบังกาโลซึงอยู่หาดทรายแก้วระยะทางพายเรือราว 1 กิโลเมตรเท่านั้น(แหมนึกว่าจะยิงยาว)"กองทัพเดินด้วยท้องครับพี่ โจ๊กแค่นี้เดี๋ยวหมดแรงกลางทาง"ผมตอบพี่เจตไปซึ่งแกก็เห็นดีด้วย


เติมพลังกันเสร็จแล้วคราวนี้ยิงยาวเลยครับไม่แวะขึ้นหาดไหนอากาศสดใส ท้องฟ้าเป็นใจคลื่นลมไม่มีพายเรือกันเพลินๆ(ต่างคนต่างเพลิน)จากหาดทรายแก้วผ่านอ่าวไผ่ อ่าวทับทิม อ่าวนวล อ่าวช่อ อ่าววงเดือน อ่าวลุงหวัง อ่าวหวาย อ่าวกิ่วหน้านอก อ่าวปะการัง เย้ๆถึงปลายเกาะเสม็ดแล้วโว้ย เห็นสาวฝรั่งยืนกันอยู่ปลายเกาะกันสองคนไม่รู้จะมายิงเรือเราหรือเปล่า 555 ฝันใกล้เป็นจริงแล้วทันทีที่อ้อมเกาะทะเลไร้คลื่นลมแทบจะเรียบสนิท นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเจอ ทะเลเรียบไร้คลื่นเหมือนพายเรือในอ่างมันไม่สนุกเร้าใจ สำหรับผมถ้ามีลูกคลื่นสูงราว  50 เซนติเมตรขึ้นไปจนถึง 1 เมตรจะดีมากเพราะเราจะใช้คลื่นช่วยในการพายเรือ เรือทัวร์ริ่งที่ดีที่สามารถฟันคลื่นได้ดีจะช่วยให้เราพายเรือได้สนุกการเลือกจังหวะให้เรือไต่ล้อลูกคลื่น ให้คลื่นส่งท้ายเรือทำให้เราไม่เหนื่อยเพียงแค่เลี้ยงเรือรักษาความเร็วให้อยู่บนยอดคลื่นแค่นี้ก็ไม่ต้องเหนื่อยมากแล้วแต่นี่ผมต้องออกแรงพายไม่หยุดเหนื่อยครับงานนี้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาหยุดพักแขนก็เซลฟี่กันซะหน่อย

 อีกอึดใจใหญ่ๆผมก็พายเรือมาถึงอ่าวพร้าวหันหัวเรือเข้าหาดวันนี้อ่าวพร้าวนับว่าเป็นอ่าวที่สวยงามหรูหรามีสไตล์มากที่สุดของเสม็ดที่นี่มีรีสอร์ตคุณภาพเรียงรายเต็มแน่นไปหมดนับเป็นหาดสุดท้ายก่อนที่เราจะพายเรือกลับเข้าฝั่ง

 เราพักที่อ่าวพร้าวนานสักหน่อยดื่มน้ำดับกระหาย แช่น้ำทะเลคลายร้อนนั่งมองฝรั่ง(แก่ๆ)เล่นน้ำ(ฝรั่งสาวๆอยู่อีกฟากของเกาะ)เพราะนับจากนี้จะเป็นช่วงที่พายไกลที่สุดเราจะตีม้วนเดียวจบไม่พักที่ไหนอีกไม่มีตัวช่วยใดๆเราเริ่มพายเรือกันอีกครั้งทุก 2-3 วินาทีต่อการจ้วงพายหนึ่งครั้งเป็นจังหวะต่อเนื่องแทบจะไม่หยุดเราใช้เวลาจากอ่าวพร้าวเข้าสู่ฝั่งบ้านเพราว 1ชั่วโมง 40 นาทีเป็นการจบเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในคราวต่อไปผมกับพี่เจตคุยกันไว้ว่าทริปต่อไปทะเลตราดสัก4-5 วันดีกว่า
แล้วพบกันอีกครั้งนะครับ


วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อันซีนลำปางวัดเฉลิมพระเกียรติ สักครั้งหนึ่งที่คุณต้องไปเยือน

       ลำปางเป็นเมืองต้องห้ามพลาดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมืองต้องห้ามพลาดแห่งนี้มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือวัดเฉลิมพระเกียรติ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามวัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง  อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง ใครที่มีโอกาสขับรถผ่านอำเภอแจ้ห่ม ถ้าสังเกตดีๆบนขุนเขาหินปูนสูงชันที่มองดูแล้วไม่น่าจะมีหนทางขึ้นไปได้จะปรากฏว่ามีเจดีย์สีขาวมากมายหลายองค์ตั้งอยู่บนยอดหินแหลมเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจนัก
           วัดเฉลิมพระเกียรติอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอแจ้ห่ม บนเส้นทางมุ่งหน้าไปอำเภอวังเหนือมีป้ายบอกทางชัดเจนไม่มีหลง(GPS 18.743610,99.543052) การเดินทางขึ้นไปชมความเป็นอันซีนสถานที่แห่งนี้จะต้องเข้าไปจอดรถที่ลานจอดรถของทางวัด ซึ่งมีการจัดการอย่างเป็นระบบโดยชุมชนและวัดร่วมกัน เนื่องจากถนนหนทางที่ค่อนข้างแคบสูงชัน จึงห้ามนำรถส่วนตัวขึ้นไป เราจะต้องใช้รถของชาวบ้านโดยเสียค่าใช้จ่าย 100 บาทไป-กลับ ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้มีการแจงรายละเอียดแล้วว่าใช้จ่ายในส่วนไหนๆบ้างซึ่งผมคิดว่าเหมาะสมแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่ามีนักท่องเที่ยวบางรายโวยวายเรื่องค่ารถที่แพง  100 บาทกับความสะดวกปลอดภัยทั้งรถและชีวิตมันน่าจะคุ้มค่า เงิน 100 บาทสำหรับบางคนได้เพียงกาแฟรสเลิศเท่านั้นเอง ดังนั้นก่อนเอ่ยปากบ่นลองขึ้นรถไปบนเส้นทางสายนี้ดูก่อน ดูระบบการจัดการ ต้นทุนในการก่อสร้างที่นอกจากใช้เงินมากกว่าการก่อสร้างบนพื้นราบแล้วยังต้องมีเรื่องของแรงศรัทธาที่กว่าจะแบกวัสดุก่อสร้างขึ้นเขาสูงชันนั้นมีมากเพียงไร เมื่อคุณลงมาแล้วรับรองว่าจะไม่บ่นเลย
            15 นาทีโดยประมาณบนท้ายรถกระบะคุณจะต้องเริ่มลงเดินทางราดซีเมนต์ราว 300 เมตรเป็นการอบอุ่นร่างกายจากนั้นอีก 500 เมตรจะเริ่มมองเห็นของจริงสะพานเหล็ก บันไดเหล็กที่ถูกสร้างเกาะเกี่ยวลัดเลาะไปตามช่องเขาผมบอกได้เลยว่าเป็นความพยามยามของมนุษย์ที่ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธาแบบเกินร้อยการก่อสร้างผมถามเจ้าหน้าที่บอกว่าทุกเช้าจะต้องทยอยขนวัสดุก่อสร้างปูนแบ่งเป็นสี่ส่วนทยอยแบกส่งต่อๆกันขึ้นเขาเมื่อขนวัสดุขึ้นไปบนยอดเขา ตอนบ่ายค่อยเริ่มทำงานก่อสร้างเป็นอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลาหลายปีกว่าจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่เราเห็น ผมใช้เวลาเดินขึ้นอย่างช้าๆราว 20 นาที เสียงลมหายใจดังครืดคราด เหมือนวัวเทียมเกวียน ทางสูงชันเหงื่อโทรมกาย ใบหน้าเย็นเฉียบรู้สึกว่าจะเป็นลมต้องหยุดพักหายใจลึกๆสังขารไม่เที่ยงจริงๆ
         

ทันทีที่ขึ้นมาถึงด้านบนความรู้สึกเหนื่อยล้าพลันมลายไปทันที สายลมเย็นพัดกระทบกายวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าทำให้ผมหายเหนื่อยไปในทันที
 
       ได้กราบพระธาตุบนยอดเขาเป็นการแสวงบุญอันคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง  บนศาลาสวดมนต์นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่คุณไม่ควรพลาด มากราบพระ มาสวดมนต์ นั่งสมาธิ เสร็จแล้วชมวิว ทำบุญชื่นชมพลังศรัทธาของชาวบ้านที่สร้างสิ่งอัศจรรย์ให้คนทั้งโลกได้ชื่นชม(มีนักท่องเที่ยวฝรั่งมาเที่ยวชมด้วย) ผมถึงบอกว่านี่คืออันซีนลำปางที่คุณไม่ควรพลาด



ต้องบอกทุกท่านให้ทราบหน่อยนะครับว่าภาพที่คุณเคยเห็นจากสื่อทั้งหลายถึงความสวยงามยิ่งใหญ่เหล่านั้นจำเป็นจะต้องป่ายปีนไปบนเทือกเขาหินปูนอันแหลมคมซึ่งอันตรายเป็นอย่างยิ่งไม่แนะนำให้กระทำอย่างเด็ดขาดเพราะถ้าพลาดอาจบาดเจ็บเลือดสาดหรือตกเขาลงมาเสียชีวิต ดังนั้นในการชื่นชมและถ่ายภาพควรอยู่ในจุดที่ปลอดภัยอย่างเช่นบนสะพานเหล็ก บนศาลาสวดมนต์เท่านั้น อย่าโลดโผน อย่าคึกคะนองเพียงแค่อยากได้ภาพสวยๆแตกต่างจากคนอื่นเรื่องนี้ขอนะครับ เพราะที่เห็นในเรื่องนี้ถ้าได้มาในช่วงอากาศแจ่มใสก็สวยเพียงพอที่จะเอาไปบอกเล่าเพื่อนๆได้แล้วครับ 

เมื่อลงมาถึงบริเวณลานจอดรถยังมีเส้นทางเดินไปชมรอยพระบาทคู่คุณลองชมดูครับว่าเหมือนมากขนาดไหนเป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ เป็นการตบท้ายก่อนเดินทางกลับ 

สำหรับท่านใดที่อยากมาสัมผัสอันซีนลำปางแห่งนี้มาได้ทุกวันนะครับ ในวันธรรมดาจะมีรถรับส่งบริการตั้งแต่ 08:00-16:00น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา06:00 - 16:00น. ค่ารถไปกลับ100 บาท 

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

ดอยธง จุดชมวิวแห่งใหม่ของเมืองปาย


ดอยธง ชื่อนี้ได้ยินแล้วก็ยังงงๆว่าอยู่ที่ไหนของประเทศไทย  ยิ่งมีคนบอกว่านี่คือแหล่งท่องเที่ยวใหม่ล่าสุดของเมืองปายก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าฟังมาถูกต้องหรือเปล่าจนเดินทางมาถึงเมืองปายถึงจะกระจ่างชัดว่าใช่จริงๆ พี่ต้นอดีตบก.ข่าวส่วนภูมิภาคของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งหันเหชีวิตมาอยู่เมืองปายพร้อมขนุน อดีตน้องฝึกงานสมัยที่ผมทำหนังสือแค้มปิ้งท่องเที่ยวบอกกับผมถึงเรื่องราวของดอยธงและดอยเมี่ยงแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่คนปายส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก
ดอยธงพิกัดและข้อมูลยังไม่แน่ชัดแต่ที่รู้ๆกันคือดอยเมี่ยงนั้นอยู่แถวหมู่บ้านแพมบกก่อนเข้าตัวเมืองปายเส้นทางสู่บ้านแพมบกรถเก๋งสามารถเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็นแต่นับจากบ้านแพมบกไปแล้วจะต้องใช้รถขับเคบ่อนสี่ล้อเท่านั้นและจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ ดอยกิ่วลม เป็นคนพาขึ้นไปเพราะเส้นทางนั้นแคบมากๆใครไม่ชินทางโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงมาก เมื่อได้ขึ้นมาข้างบนขณะรถเคลื่อนผ่านทางที่แสนจะคับแคบพอดีตัวรถมีหุบเหวเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆช่างเสียวจริงๆ(ผมนั่งอยู่ข้างเหวพอดี)ระยะทางจากบ้านแพมบกไปไม่ไกลราว 6-7 กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ ดอยกิ่วลม หรือที่บางคนรู้จักว่าดอยเมี่ยงนั่นเอง
ดอยเมี่ยงอยู่ในระดับความสูง1,624 เมตรจากระดับน้ำทะเลเป็นจุดชมวิวที่ได้รับการประชาสัมพันธ์ไปเมื่อปีที่แล้วจากจุดนี้เราสามารถมองเห็นเมืองปาย สะพานข้ามแม่น้ำปาย(แบบลางๆ)เรียกว่าวิวทิวทัศน์สวยงามทีเดียวบางท่านเห็นแค่นี้ก็กรี๊ดแล้วหยุดพักอย่างสบายใจ ที่นี่มีบ้านพักให้เราได้ชมวิวแบบสบายๆทั้งหมด 4 หลังในราคา 500 บาทต่อคืน แล้วดอยธงล่ะอยู่ไหนกัน?
"ดอยธงอยู่เหนือดอยเมี่ยงขึ้นไปอีกราว 3 กิโลเมตร" นั่นเป็นคำกล่าวของพี่เพชร เจ้าหน้าที่ที่พาผมขึ้นมา  3 กิโลเมตรที่ว่านี้คุณภาพล้วนๆ ถนนสายนี้เพิ่ใตัดมาเมื่อปลายปีที่แล้วใช้คนขุดถนนกันขึ้นมาตลอดทาง ถนนแคบอันตรายตอนนี้มีเพียงพี่เพชรเท่านั้นที่ขับขึ้นไปได้เมื่อผมได้มีโอกาสสัมผัสในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจก็ยอมรับล่ะครับว่าเสียวกว่าตอนขึ้นมาถึงดอยเมี่ยงอีก ถนนสายนี้พิสูจน์แล้วว่านอกจากรถสมรรถนะดีแล้วฝีมือคนขับต้องเยี่ยมด้วยเพราะเป็นถนนสายที่พลาดไม่ได้เลยแม้สักครั้งเพราะถ้าพลาดต้องไปเก็บซากกันในหุบเหวเลยทีเดียว บนยอดดอยธงนั้นมีเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุไว้เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้ชาวบ้านและชาวเขาได้กราบสักการะกัน พี่เพชรบอกว่า ณ จุดนี้เคยมีเจดีย์เก่าที่ชาวบ้าน-ชาวเขาสร้างขึ้นที่ยอดดอยธงจึงเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วมักจะมีชาวบ้าน-ชาวเขาต่างวขึ้นมากราบสักการะเจดีย์องค์เดิมเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวควรให้ความเคารพด้วยเช่นกันจากจุดจอดรถเราจะต้องเดินขึ้นเข้าสูงชันไปอีกราว 400 เมตรจึงจะมาถึงยอดดอยธง ที่มีความสูงถึง 1,895 เมตร จากระดับน้ำทะเล

 อากาศยามเช้าท้องฟ้าสดใสไร้เงาเมฆหมอกความงดงามเหนือยอดดอยธงนั้นยิ่งใหญ่อลังการในแบบที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เจอที่เมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนแห่งนี้ บนจุดนี้เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพในแบบ 360 องศา มีภูเขามากมายให้เราได้ชม กลุ่มทะเลหมอกแถวปางมะผ้าก็สามารถเห็นได้  อากาศหนาวเย็นจับใจวันนี้เรายังไม่เห็นทะเลหมอก พี่เพชรบอกว่าช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวที่มีความชื้นสะสมสูงจะเห็นทะเลหมอกได้รอบตัว วันนี้ได้เพียงแค่สายหมอกพัดผ่านก็ดีใจมากแล้วครับ





ใครที่อยากสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองปายลองแวะมาเที่ยวดอยเมี่ยง - ดอยธงได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี บนยอดดอยเมี่ยงมีที่พักคืนละ 500 บาท มีอาหารตามสั่งด้วยนะครับ
สำหรับการเดินทาง จะต้องมาจอดรถยนต์ส่วนตัวที่บ้านแพมบก GPS19.325277 ,98.392776) บ้านแพมบกอยู่ก่อนถึงตัวเมืองปายเมื่อมาจากแยกแม่มาลัยปายโดยเข้าซอยทางไปแผ่นดินแยกราว 6-7 กิโลเมตร(เลยแผ่นดินแยกและน้ำตกแพมบก)ไป จากนั้นไปจอดรถที่บ้านแพมบก แล้วใช้บริการรถของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ค่าบริการรถยนต์จากบ้านแพมบก - ลานจอดรถดอยธงไปและกลับ1,600 บาท ติดต่อสอบถามได้ที่พี่เพชร โทร.08-2182-3993