รอบเกาะสีชังกับการเดินทางแบบคายักทัวร์ริ่ง
ฝันของใครหลายคนที่อยากเดินทางในแบบที่แตกต่าง ซึ่งผมและเพื่อนๆก็เช่นกันโดยเฉพาะกับพี่เจต ที่มีคติประจำใจว่า "รีบพายเรือกันซะเดี๋ยวแก่แล้วจะพายไม่ไหว" โปรแกรมนี้เราเลื่อนมา 1 รอบเนื่องจากวันหยุดไม่ตรงกันสักที เมื่อเวลาลงตัวบันทึกการเดินทางบทใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่รีรอเรือ 5 ลำ คน 5 คนจึงพร้อมออกเดินทางจากแหลมฟานชายฝั่งอำเภอศรีราชาในวันที่ 26 มีนาคม 2559 กันทันที
ก่อนเดินทางผมดูพยากรณ์อากาศแล้วก็แอบหวั่นใจลึกๆว่าเราจะเจอพายุฤดูร้อนกันหรือเปล่าแต่เมื่อเห็นภาพถ่ายดาวเทียมแล้วก็เบาใจได้ในระดับหนึ่งว่าไม่น่าจะเจอแต่เจอหางๆของพายุแน่ๆไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ พอเราเอาเรือลงจากรถจัดแจงสัมภาระที่จำเป็นต่อการเดินทาง 2 วัน 1 คืนเรียบร้อยแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้นผมพนมมือไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่แห่งเกาะสีชังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ห่างออกไป 16 กิโลเมตรในใจขอให้การเดินทางปลอดภัย แสงแดดเริ่มโผล่พ้นเมฆ ทะเลเรียบไร้คลื่นลมนั่นเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นเดินทาง ผมกับพี่เจตเราต่างเดินทางด้วยเรือคายักกันมาบ่อยจนรู้มือกันดีแล้วแต่อีก 3 คนคือคุณเอมี่หญิงสาวเพียงคนเดียวในทริปนี้ ,คุณตู๋,คุณเปี๊ยกจากชมรมเพื่อนพายเรายังไม่เคยมีโอกาสพายเรือด้วยกันเลยเราจึงพายกันอย่างสบายๆไม่เร่งร้อนแต่ก็ทำเวลากันได้ดีพอสมควร
เกือบ 2 ชั่วโมงเต็มพวกเราทั้ง 5 ก็มาขึ้นฝั่งที่เกาะขามน้อยที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะสีชัง หาดที่เต็มไปด้วยเปลือกหอยและหินก้อนกลมๆที่ถูกคลื่นซัดจนเรียบสวยงาม น้ำทะเลค่อนข้างใสมากถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจก็ตาม
ข้อดีของท้องฟ้าปิดคืออากาศไม่ร้อนพายเรือสบายแต่ถ่ายภาพไม่ได้เรื่องเราพักผ่อนยกแรกกันเกือบครึ่งชั่วโมง พี่เจตบอกทุกคนว่าเดี๋ยวเราพายเรืออ้อมหัวเกาะไปสักพักถ้าเจอหาดทรายตรงไหนก็แวะพักมื้อเที่ยงกันอีกทีทุกคนรับทราบแผนการเดินทางช่วงต่อไป
จากนั้นเราเริ่มต้นพายเรือกันอีกครั้งจากเกาะขามน้อยเราจะพายเรืออ้อมหัวเกาะสีชังทางด้านทิศเหนือซึ่งเต็มไปด้วยเรือบรรทุกข้าวที่ผูกโยงลอยลำรอลำเลียงขึ้นเรือสินค้าขนาดใหญ่ ในความเวิ้งว้างของทะเลเมื่อพ้นหัวเกาะสีชังไปแล้วคือทะเลเปิดไร้เกาะใดๆบดบังมีเพียงเส้นขอบฟ้าเท่านั้นที่เป็นเพื่อน ทันทีที่เข้าใกล้หัวเกาะสีชังเราเริ่มเห็นริ้วคลื่นกระเพื่อมยกตัวสูงกว่าช่วงที่ผ่านมาเรือคายักลำน้อยโยนตัวไปตามกระแส เมื่อเทียบกับเรือบรรทุกข้าวก็ดูเล็กไปถนัดตา ยิ่งถ้าเทียบกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ลอยลำไม่ห่างกันนัก เรือคายักก็เป็นเรือจิ๋วเหมือนเศษไม้ในท้องทะเลเลยทีเดียว การพายเรือแบบนี้ไม่ควรเข้าใกล้เรือใหญ่ด้วยประการทั้งปวงไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ คลื่นที่เริ่มซัดเข้าฝั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกระแทกเข้ากับเรือลำใหญ่เกิดเป็นคลื่นสะท้อนกลับจนบางครั้งเรือคายักเราแทบจะควบคุมทิศทางไม่ได้ ต้องตั้งสติให้มั่นผมหันหัวเรือเฉียงคลื่น 45 องศาค่อยๆลากพายยาวๆขนานไปกับลำเรือตัดคลื่นส่งเรือให้ห่างออกจากเรือลำใหญ่ฉีกตัวห่างจากหัวเกาะสีชังไปอย่างช้าๆแรงพายที่ลงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วงส่งให้เรือคายักหลุดพ้นแนวคลื่นสะท้อนกลับไปอย่างไม่ยากเย็น จนมาลอยลำรอเพื่อนอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของเกาะสีชัง
เมื่อพ้นหัวเกาะที่มีคลื่นแปรปรวนมาได้คลื่นและลมก็พัดในทิศทางปกติจากทิศเหนือมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ผมหันท้ายเรือให้คลื่นส่งท้ายใช้แรงคลื่นช่วยให้เราพายเรือได้สนุกไม่เหนื่อย เรือ คลื่น ลม และผมถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวมีความสงบเงียบเป็นเพื่อน ผมชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวกลางผืนน้ำอันกว้างใหญ่ตอนนี้มาก ได้คุยกับตัวเอง ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา มีเวลาให้กับจิตใจและตัวตนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะตลอดเวลานับสิบปีชีวิตของเรามิได้เป็นของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เคยถามใจหรือดูแลจิตของตัวเองเลย วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ใจจะได้พัก
เราพายจากเกาะขามน้อยจนเวลาล่วงเลยมาได้ 1 ชั่วโมงเศษก็มาเจอหาดทรายเล็กๆอยู่หาดหนึ่งตามแผนคือเราจะต้องหยุดพักกินข้าวบ่าย หาดนี้อยู่ระหว่างหัวเกาะกับหาดถ้ำพัง
มีหลักหินบอกตำแหน่งที่ผมก็ไม่ทราบความหมายเราพักผ่อนเพิ่มเติมพลังงานและเล่นน้ำคลายร้อนกันอย่างเต็มที่จากนั้นก็เดินทางต่อไปแบบไม่เร่งรีบเพราะจุดหมายปลายทางของวันนี้คือที่หาดถ้ำพัง เราพายเรือออกจากหาดนิรนามมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาเจอหาดช่องเขาขาดจุดที่มีสะพานชมวิวทิวทัศน์ ผมถ่ายภาพเข้าไปนับเป็นการชมวิวที่แปลกตาจากปกติที่เรามองออกมาจากเกาะสีชังแต่ครั้งนี้เรามองจากท้องทะเลเข้าไปก็แปลกตาดีไม่น้อย คุณเปี๊ยกเอ่ยว่านี่ถ้าไม่ได้พายเรือก็ไม่เห็นมุมนี้นะเนี่ย
จากหาดช่องเขาขาดเพียงชั่วไม่กี่อึดใจก็เข้ามาถึงหัวหาดถ้ำพัง ชื่อหาดถ้ำพังนั้นมาจากเพิ่งถ้ำที่อยู่ด้านซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าฝั่งนั่นเอง เป็นมุมที่เราต้องพายเรือออกมาจึงจะเห็น หาดถ้ำพังในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนพลุกพล่านต่างมองพวกเราเป็นตาเดียวหลายคนสอบถามว่าเราพายมาจากไหนเมื่อตอบไปก็ตกใจกันทั้งนั้นเพราะคงไม่คิดว่าจะมีคนไทยบ้าพายเรือกันขนาดนี้ หาดถ้ำพังเป็นหาดที่สวยที่สุดของเกาะสีชังหาดทรายขาว น้ำทะเลใส เราพักแรมคืนกันที่นี่ด้วยการจองห้องพักในราคาคืนละ 600 บาท ในค่ำคืนที่หาดถ้ำพังกว่าที่จะข่มตาหลับได้ก็เกือบเที่ยงคืนเพราะเสียงเพลงคาราโอเกะที่ร้องแหกปากแบบไม่เกรงใจใคร สำหรับนักท่องเที่ยวไทยเมื่อมาเป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่แตกต่างไปจากนักท่องเที่ยวจีนสักเท่าไหร่เผลอๆอาจแย่มากกว่านักท่องเที่ยวจีนซะด้วยซ้ำ การที่จะว่าใครหรือชาติไหนเราควรสำรวจคนในชาติเราก่อนว่าดีกว่าเขาหรือไม่ ดังนั้นการว่าก็ควรเฉพาะตัวอย่าเหมาทั้งประเทศเพราะพี่ไทยก็ไม่เบาเช่นกัน
รุ่งเช้าเราพายเรือเล่นเลาะเลียบหาดถ้ำพังกันพอได้เหงื่อจึงเริ่มพายกันต่อวันนี้เราจะพายเรือรอบเกาะสีชังมีแถมท้ายไปเกาะค้างคาวที่อยู่ห่างจากหาดถ้ำพังราว 5 กิโลเมตรด้วย
จากหาดถ้ำพังประมาณสัก 15 นาทีพายเรือเราก็มาลอยลำอยู่ตรงหน้าปาลีฮัทรีสอร์ตสุดฮิปของเกาะสีชังถึงแม้ไม่มีหาดทรายก็เก๋ได้ เริ่มแรกของที่นี่คือฉากถ่ายภาพยนต์ปืนใหญ่จอมสลัดเมื่อถ่ายจบก็ทำเป็นที่พักซึ่งเก๋และเท่ห์มากเป็นที่รู้จักนับแต่นั้นมา จากปาลีฮัทเราพายเรือจนมาสุดปลายเกาะสีชังมองเห็นเกาะค้างคาวอยู่ไม่ไกลเราจึงพายเรือไปที่เกาะค้างคาวเหมือนเดินเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้าน(กำลังอยู่ตัวแล้ว) ที่เกาะค้างคาวมีที่พักเพียงเจ้าเดียวต้องมาเป็นหมู่คณะไม่เปิดให้คนทั่วไปพักเห็นคุณเอมี่บอกว่าคราวหน้าจะชวนเพื่อนๆพายเรือมาเกาะค้างคาวกันอีกครั้ง
จากเกาะค้างคาวพวกเราพายตัดข้ามเกาะมายังฝั่งทิศตะวันออกผ่านท่ายายทิมลอดผ่านท่าขนส่งน้ำมันทางท่อเข้าสู่พระจุฑาธุชราชฐานอดีตพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฝั่งด้านนี้เขาห้ามจอดเรือเราจะต้องพายอ้อมไปนิดนึงตรงสะพานอัษฎางค์แลนด์มาร์คของเกาะสีชังที่ใครๆมักจะมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกนั่นเอง
จุดหมายปลายทางของพวกเราดูใกล้เข้าไปทุกทีเรามากินข้าวเที่ยงกันที่ร้านป้าปั่น&ลุงวิศ ร้านดังของเกาะสีชังต้องว่าอร่อยสมชื่อกับวัตถุดิบคุณภาพทำให้มื้อเที่ยงนี้เป็นมื้อที่วิเศษจริงๆ เราลงเรือกันอีกครั้งพร้อมกับภาพข่าวเมื่อชั่วโมงที่แล้วฝนตกหรักที่พัทยาน้ำท่วมอีกครั้ง เมฆฝนก่อตัวให้เห็นแต่ไกล สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสาย แสงแดดเหือดหายบรรยากาศอึมครึม ในใจผมเริ่มวิตกว่าเราเจองานหนักแน่คราวนี้ เรารีบพายออกจากเกาะสีชังเพื่อมุ่งหน้ากลับแหลมฟานฝั่งศรีราชาอย่างเร่งรีบผมเก็บกล้องลงในกล่องกันน้ำพายนำเพื่อนๆพร้อมบอกให้ตามมา การพายเรือท่ามกลางคลื่นลมและกระแสน้ำที่พัดขวางเส้นทางที่เราจะไปจำเป็นจะต้องพายเผื่อระยะ ผมกำหนดทิศทางตั้งหลักมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเล็งยอดตึกที่กำลังก่อสร้างซึ่งบัดนี้มองไม่เห็นแล้วเพราะเมฆฝนบดบัง เรือคายักตัดกระแสคลื่นพายไม่หยุดตั้งหัวเรือเฉียงเพียงแค่ 30 องศาเพื่อให้เรือไต่ไปบนหัวคลื่นเป็นการผ่อนแรงพายไม่ให้เรือตกลงไปยังท้องคลื่นวิธีนี้อาจเหนื่อยในช่วงแรกที่ต้องส่งเรือด้วยความเร็วเพื่อให้เรืออยู่บนคลื่นให้ได้เมื่อความเร็วถึงแล้วพายไม่หยุดคราวนี้คลื่นจะช่วยเราส่งเรือให้เร็วเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวโดยที่ออกแรงน้อยกว่าการพายปกติ ฝนเริ่มโปรยปรายมองเห็นฝั่งศรีราชาอย่างลางเลือน
เมื่อเรือแล่นอยู่กลางทะเลถึงแม้จะปั่นป่วนแต่จิตใจกลับนิ่ง สงบ แขน หัวไหล่และเอวทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้เรือไปข้างหน้า สายฝน สายลมและเกลียวคลื่นคือเพื่อนในยามนี้สำหรับผมมันคือความสุขที่ไม่ต้องปรุงแต่งธรรมชาติงดงามและเป็นธรรมเสมอ เมื่อใกล้ฝั่งผมหยุดรอเพื่อนๆอีกไม่นานการเดินทางจะสิ้นสุดแล้วพายเรือคายักรอบเกาะสีชังครั้งนี้ให้บทเรียนชีวิตแบบเกินคุ้มสำหรับคนที่แสวงหาหนทางของการพายเรือ สำหรับผมแล้วมันคือบันทึกการเดินทางบทใหม่ที่ทำให้กลับมาเป็นตัวตนของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ผมทิ้งไปนานนับสิบปี
ครั้งหน้าเราคงได้เจอกันบนเส้นทางใหม่ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างแหลมศอก - เกาะใบดั้ง - เกาะกระดาษ กลางท้องทะเลตราดอีกไม่นานเกินรอครับ